advance 1 เทคนิคในการโซโล่
(Improvisational Techniques)
มีอยู่ 3 วิธีใหญ่ๆ คือ1. วิธี Paraphrasing
2. การใช้ Formulas
3. การใช้ Motifs
วิธี Paraphrasing
หมายถึงการใช้ทำนองของเพลงที่เล่นอยู่เป็นหลัก เช่น การล้อ ดัดแปลง หรือตกแต่งทำนองโดยไม่หนีไปไกลจากเดิมมากนัก หรืออาจเป็นการพูดถึงเรื่องเดียวกัน แต่ใช้วิธีพูดคนละแบบ วิธีการนี้นั้นผู้ฟังมักจะเข้าใจและตามผู้เล่นได้ง่าย เพราะยังได้ยินทำนองเพลงที่แอบแฝงอยู่ เป็นวิธีที่ใช้กันมานานแล้ว เรามักจะได้ยินจากเพลง Standard เก่าๆ เพลงลูกกรุง และเพลงลูกทุ่งทั่วไปก็ใช้วิธีนี้ ซึ่งก็น่าจะเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด เพราะไม่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์อะไรมากนัก เพียงแค่ต้องรู้จักทำนองเพลงเป็นอย่างดีเท่านั้น ในเพลงแจ๊สนั้น นิยมใช้วิธีนี้ใน Chorus แรกเป็นส่วนใหญ่การใช้ Formulas
คือการใช้สูตร หรือ “ลูกสูตร” หรือ Licks นั่นเอง คำว่า Licks หมายถึง วลีหรือประโยคของทำนองที่นิยมนำไปใช้กันมากในการโซโล่ ปกติมักจะเป็นทำนองที่เด่นและไพเราะ โดยอาจจะมีผู้คิดขึ้นมาก่อนและใช้มากจนเป็นที่ยอมรับกันทั่วไป และต่อมาคนอื่นๆก็เลยนำไปใช้กันบ้าง หลายทำนองท่านคงเคยเห็นหนังสือที่เกี่ยวกับ Licks ในสไตล์ต่างๆ ที่มีขายกัน เช่น Blues Licks ของ B.B. King, Piano Licks ของ Chick Corea เป็นต้น ในทางแจ๊สนั้นนิยมใช้ Licks กันมากที่สุดในยุค Swing และ Bebop ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่ง Jazz Licks ก็คือ Charlie Parker ซึ่งเป็นต้นตำรับของสไตล์ Bebop นี้ด้วยผู้ที่ใช้วิธี Formulas ได้ดี จะต้องมีการฝึกซ้อมมากเป็นพิเศษในการเล่น Licks หรือลูกสูตรต่างๆให้ได้อย่างคล่องแคล่ว สามารถจำได้อย่างแม่นยำ และนำมาใช้ได้โดยอัตโนมัติ ดังนั้น การโซโล่ทั้ง 3 วิธีนี้ วิธีการใช้ Formulas น่าจะเป็นวิธีที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์น้อยที่สุด
การใช้ Motifs
Motifs หมายถึงส่วนที่เล็กที่สุดของทำนอง จะเป็นกลุ่มโน้ตตั้งแต่ 2-7 โน้ตที่มีรูปร่างลักษณะที่เด่นชัดและมักจะติดหูคนฟังง่าย และที่สำคัญคือ สามารถนำไปพัฒนาต่อได้ หลาย Motifs รวมกันจะกลายเป็น Phrase (ประโยค) หลาย Phrases รวมกันจะกลายเป็น Paragraph (ย่อหน้า) หลาย Paragraph รวมกันจะกลายเป็น Chorus (1เที่ยวเพลง)การพัฒนา Motifs (Motivic Development)
การพัฒนาโมทีฟมีอยู่หลายวิธีได้แก่1. Repetition (การซ้ำ) หมายถึง การเล่น Motif นั้นซ้ำอีก อาจแบ่งเป็น
1.1 แบบ Exact คือเหมือนเดิมทุกประการ
1.2 Octave Displacement คือการเปลี่ยน Octave ของโน้ตบางตัวซึ่งจะทำให้Sound แปลกออกไป
1.3 Rhythmic Displacement คือการย้ายตำแหน่งของจังหวะ
2. Transposition หมายถึงการเล่น Motif เดิมโดยการเปลี่ยนระดับเสียงสูงขึ้นหรือต่ำลง อาจแบ่งออกเป็น
2.1 แบบ Diatonic คือ การเปลี่ยนระดับเสียงโดยอยู่ในคีย์เดิม
2.2 แบบ Exact คือการเปลี่ยนระดับเสียงของ Motifs โดยรักษาระยะห่างของโน้ตทุกตัวเอาไว้โดยไม่คำนึงถึงโน้ตถึงคีย์ที่จะต้องเปลี่ยนไป
3. Question and Answer (ถาม-ตอบ) เป็นการพัฒนาโมทีฟในลักษณะ ถาม-ตอบ คือ ประโยคแรกถามและประโยคหลังตอบ
4. Alteration of Intervals คือการเปลี่ยนระยะห่างของโน้ตใน Motif
5. Addition or Subtraction of Material หมายถึง การเพิ่มหรือการตัดจำนวนของตัวโน้ตใน Motif
6. Rhythmic Alteration หมายถึงการยืดหรือหดค่าของตัวโน้ตทั้งหมดหรือเพียงแค่บางตัว อาจแบ่งออกเป็น
6.1 Augmentation การยืดออกหรือเพิ่มค่าของตัวโน้ต
6.2 Diminution การหดหรือลดค่าของตัวโน้ต
7. Retrograde การเล่นถอยหลัง จะใช้ได้ดีสำหรับโมทีฟสั้นๆ แต่บางทีก็อาจจะได้ผลไม่ค่อยดีนัก เพราะฟังแล้วเข้าใจยาก
8. Melodic Inversion การเล่นกลับหัว หรือแบบกระจกเงา อาจแบ่งออกเป็น
• แบบ Diatonic คือการกลับหัวโดยอยู่ ในคีย์เดิม
• แบบ Exact คือการกลับหัวโดยรักษาระยะห่างของโน้ตทุกตัวเอาไว้ โดยไม่คำนึงถึง คีย์ที่จะเปลี่ยนไป
9. Change of Melody-Harmony Relationship คือการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างโน้ตในโมทีฟกับคอร์ดที่รองรับอยู่ ซึ่งอาจแบ่งออกเป็น
• การเล่นซ้ำโมทีฟเดิม ในขณะที่ คอร์ดเปลี่ยนไป
• การใช้วิธี Transpose โน้ตบางโน้ต ขึ้นหรือลงเพื่อปรับให้เข้ากับคอร์ด
เราจะหาโมทีฟเหล่านี้ได้จากที่ไหน ?
1. จากทำนองของเพลงที่กำลังเล่นอยู่
2. จากทำนองหรือ Motif เด่นๆของเพลงอื่น
3. ยืมจาก Motif ที่ผู้เล่นอื่นๆใช้
4. คิดเอาเองโดยเตรียมตัวไว้ล่วงหน้า หรืออาจคิดออกมาสดๆ
5. จาก Motif หรือ Ideas ที่ถูกพัฒนาไปแล้ว
วิธีการพัฒนา Motifs ทั้งหมดนี้ เราสามารถนำมาผสมผสานกันใช้ จะใช้พร้อมกันหลายวิธี หรือใช้ทีละวิธีก็ได้ แต่สิ่งสำคัญอันหนึ่งทึ่ควรคำนึงถึง คือ
1. ความสมดุลระหว่างการพัฒนา Motifs กับ Ideas ใหม่ ถ้ามีสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากเกินไปอาจจะเกิดความน่าเบื่อ
2. Motif ที่มีการพัฒนาไป กับ Ideas ใหม่จะต้องมีความสัมพันธ์กัน
การใช้และพัฒนาโมทีฟ เป็นเทคนิคของการโซโลที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์มากที่สุด ซึ่งผู้เล่นจะต้องคิดอยู่ตลอดเวลาที่เล่น ผู้ที่มีชื่อเสียงในการใช้เทคนิคนี้คือ John Coltrane
ตัวอย่างการพัฒนาการของโซโล่ (4 Choruses)
Chorus ที่ 1• เข้าสู่การโซโล่ด้วยประโยค หรือ Statement ที่เหมาะสม มีความชัดเจน เข้าใจง่าย
• ใช้วิธี Paraphrase เป็นส่วนใหญ่ แต่ถ้าใช้ Motifs จะดึงออกมาจากทำนองหลักของเพลงมาพัฒนา
• ค่าของตัวโน้ตส่วนใหญ่เป็น Eight Notes กับ Quarter Notes หรือมากกว่า
• ใช้ช่วงเสียง (Range) แคบๆ ยังไม่สูงหรือต่ำมาก
• มี Space มาก
• Scale ส่วนใหญ่ยังเป็น Diatonic อยู่ (เล่น “Inside”ก่อน)
• ใช้ประโยคง่ายๆ เล่นแบบอิง Chord Tones เป็นส่วนใหญ่และไม่ยาวมาก
• โน้ตสีสันมีจำนวนน้อย
• ใช้ Intervals ที่ฟังง่าย
• Dynamics อยู่ในระดับปานกลาง ไม่ค่อยหรือดังมาก
Chorus ที่ 2
• เริ่มมี Ideas ใหม่ๆเข้ามา และมีการใช้ Formulas บ้าง และเริ่มมีการพัฒนา Motifs บ้าง
• ค่าของตัวโน้ตส่วนใหญ่เป็น Eight Notes มากขึ้น
• เริ่มใช้ช่วงเสียง (Range) กว้างขึ้น
• มี Space น้อยลงบ้างสลับกับ Space มากบ้าง
• เริ่มมี Scale อื่นๆที่เป็น Non-Diatonic เข้ามา
• เริ่มมีประโยคยากและซับซ้อนเข้ามาสลับ มีการใช้ Tensions และ Altered Tension ก็เริ่มมีบ้าง
• ใช้คู่เสียงที่มีระยะห่างและฟังยากมากขึ้น
• เพิ่มระดับของ Dynamics ขึ้นมากกว่า Chorus 1
Chorus ที่ 3
• มีการเปลี่ยน Ideas ใหม่ๆเข้ามา การพัฒนา Motifs มีอย่างเต็มที่ และมีการใช้ Formulas มากหรือน้อยแล้วแต่ความถนัดของผู้โซโล่
• ค่าของตัวโน้ตส่วนใหญ่เป็น Eight Notes และอาจมี Sixteen Notes แทรกเข้ามาบ้างแล้วแต่สไตล์ของเพลง
• มี Space น้อย
• Range กว้างมาก มีทั้งสูงมากและต่ำมาก
• มีการใช้ Scale ที่ซับซ้อนขึ้น เช่น Altered Scale, Symmetric Scale, Upper Structure Triads เป็นต้น
• มีการใช้ Tension ในระดับสูงและอาจมี Outside Note ด้วย
• ใช้คู่เสียงที่หลากหลายและฟังยากมากกว่า หรือ พอๆกับ Chorus 2
• เพิ่มระดับของ Dynamics ขึ้นอีก
• อาจมีการเปลี่ยน Mood เพื่อ Break Momentum บ้าง
• อาจมีการ “Quote” ทำนอง หรือ Motif ของเพลงอื่นเข้ามาพัฒนาบ้าง
Chorus ที่ 4
• ความหนาแน่น ความแรง ความตื่นเต้นเร้าใจ และทุกๆอย่างอยู่ในระดับสูงสุด
• มีการใช้เทคนิคทั้ง 3 วิธีปนกัน โดยเฉพาะการใช้ Formulas และการพัฒนา Motifs
• Climax หรือ High Point ของโซโล่มักจะอยู่ใน Chorus นี้
• ช่วงท้ายของ Chorus จะค่อยๆลดความเครียดลงจนอยู่ในระดับพอๆกับ Chorus ที่ 1
• จบการโซโล่ด้วยประโยคหรือ Statement ที่เหมาะสม ชัดเจน และเข้าใจง่าย โดยผู้ที่โซโล่ต่อสามารถที่จะเชื่อม Idea นั้นเข้ากับ Idea ของเขาต่อได้อย่างสะดวก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น